[รีวิว] ร้านแฮปปี้ พอต ชาบู (happy pot shabu) เติมความสุขให้ล้นหม้อ 299 ฿ @เอกชัย
สวัสดีครับท่านผู้อ่าน RyoiiReview ทุกท่าน ปัจจุบันการบริโภคอาหารประเภทบุฟเฟต์มีแนวโน้มสูงขึ้น และเป็นที่นิยมของคนทุกเพศทุกวัย เพราะสามารถทานได้อิ่มมากกว่าอาหารจานเดียว และเลือกอาหารตามใจชอบได้หลากหลายขึ้น ภายใต้งบประมาณที่ควบคุมได้ โดยเฉพาะร้านบุฟเฟต์ที่มีครอบคลุมทุกเมนูยิ่งได้เปรียบ แต่ราคาบุฟเฟต์ก็อาจสูงมากขึ้นตามไปด้วย
สำหรับทีมงาน RyoiiReview ได้พบร้านที่ตอบสนองผู้บริโภคกลุ่มนี้นั่นก็คือ Happy Pot Shabu @เอกชัย ร้านบุฟเฟต์ที่ประกอบด้วยอาหารหลากหลายชนิด อาทิ ประเภทเนื้อเช่น เนื้อใบพาย และเนื้อริบอาย ส่วนประเภทหมูอย่าง เนื้อหมูสันนอก, เนื้อหมูสันคอ, เนื้อหมูสามชั้น, หมูไม้ไผ่ และยังสามารถสั่งชีสเพิ่มได้โดยไม่มีการจำกัดจำนวน ในราคาที่ไม่ต้องจ่ายแพงเกินความจำเป็น (299 ฿) และ "ชีส" ที่ทานได้ไม่จำกัดในไลน์บุฟเฟต์ ซึ่งถือว่าเป็นจุดเด่นประจำร้าน
SPONSORED
เมนู และราคา
เมื่อได้ที่นั่งเรียบร้อยจะเจอกระดาษรายการอาหารใบเล็กบนโต๊ะเพื่อให้ลูกค้าเลือกเมนูตามที่ต้องการ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าเมนูทั้งหมดของร้านมีเพียงเท่านี้นะครับ เพราะยังมีเมนูอื่นๆ จากทางร้านอีก แต่กระดาษใบเล็กที่โต๊ะมีให้เลือกสั่งเฉพาะรายการเมนูของทอด, ประเภทซุป และเครื่องดื่ม กับพนักงานล่วงหน้าไปก่อน
Happy Pot Shabu บุฟเฟต์ราคาเพียง (299 ฿) แต่รายการอาหารเรียงกันมาเต็มพิกัด
บุฟเฟต์ชาบูชีสของ Happy Pot Shabu ราคาจะอยู่ที่ (299 ฿) สามารถทานได้ 1 ชั่วโมง 40 นาที สำหรับเด็กที่มีความสูงไม่ถึง 100 เซนติเมตร จะทานได้ฟรี แต่ถ้าเด็กสูง 100-130 เซนติเมตร ทางร้านจะคิดในราคา (150 ฿) ครับ
เรื่องชีสต้องการเติมมากแค่ไหนก็ไม่มีบวกราคาเพิ่มภายหลัง แต่สำหรับเรื่องซุปถ้าเป็นซุปต้มยำ ทางร้านจะบวกราคาเพิ่มอีก (30 ฿) ส่วนซุปดำ และซุปใส รวมอยู่ในราคา (299 ฿) ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมครับ แต่ท่านใดที่ยังทานไม่อิ่มภายในเวลากำหนด สามารถต่อเวลาทานได้โดยชำระเงินเพิ่มราคาอีก 60 บาท จะต่อเวลาได้ 30 นาที และจะมีการปรับราคาหากลูกค้าตักอาหารมาทานไม่หมด จะถูกปรับขีดละ 50 บาท โดยยึดอาหารที่เหลือในหม้อเป็นหลัก
ใครที่เป็นนักทาน Seafood ตัวยง สามารถเลือกทานแบบ A La Carte ได้ มีให้เลือกเป็นเซตในราคา (319 ฿) รายการประเภท Seafood อาทิ แซลมอน, กุ้งแก้ว, กุ้งก้ามกราม, ปลาหมึกสด เป็นต้น
บรรยากาศภายในร้าน
เมื่อเข้ามาที่ร้านพบว่าโดยมากมีวัยเรียนต่างแวะเวียนมาทานกันจำนวนครึ่งต่อครึ่ง ซึ่งตรงกับความต้องการของทางร้านที่ตั้งใจให้บรรยากาศภายในร้านเหมือนได้มาทานอาหารแบบอบอุ่นในสไตล์คนสนิท แบบกลุ่มเพื่อน คนรู้ใจ หรือครอบครัวอบอุ่น
ลูกค้าที่นี่แน่นทุกวันทุกเวลา
SPONSORED
การตกแต่ง และโลโก้ร้านโทนสีเหลือง-ดำ ให้อารมณ์เหมือนมาทานบุฟเฟต์ในห้าง
มุมนี้หนักเนื้อ และเน้นผักต่างๆ
เมนูลูกชิ้นจัดไว้บริเวณใกล้กับมุมของเนื้อ เพื่อสะดวกต่อการเลือกหยิบ
แว่นขยายมีให้ทุกโต๊ะ ช่วยอำนวยความสะดวกต่อการมองเห็นตัวหนังสือเล็กๆ ของเมนู
โดยที่ร้านจะมีพื้นที่ชั้นเดียวคือชั้นล่าง มีทั้งหมด 18 โต๊ะ มีโต๊ะเหมาะสำหรับมากัน 2, 4, 6 ท่าน รองรับลูกค้าสูงสุดเต็มที่ประมาณ 80 คน ส่วนจุดรอคิวมีอยู่ที่หน้าร้าน และภายในร้านครับ เนื่องจากที่นั่งรอคิวจะยังมีไม่ค่อยมาก หากใครไม่สะดวกรอกันที่ร้าน ให้มาลงชื่อจองคิวกับพนักงานไว้ก่อนเพื่อนัดเวลาคิวของท่าน แล้วค่อยกลับมาอีกทีเมื่อใกล้ถึงคิวแล้วก็ได้ครับ
ลูกค้าบางท่านที่สายตาสั้น แล้วบังเอิญลืมนำแว่นสายตามาด้วยหมดห่วงได้ครับ เพราะที่ร้านมีแว่นขยายวางไว้ให้ใช้บริการครบทุกโต๊ะ เพื่อช่วยให้บางท่านที่มีปัญหาเรื่องสายตาอ่านเมนูได้ชัดขึ้น หรือน้องๆ วัยรุ่นจะนำมาใช้เป็นอุปกรณ์การถ่ายภาพ เพื่อมีภาพน่ารักๆ ไปลง Social ก็ดูแปลกตา และไม่ซ้ำแบบใครดีครับ
ขั้นตอนการทานเนื้อ+มอสเซอเรลล่าชีส
1. มอสเซอเรลล่าชีสหั่นสี่เหลี่ยมที่เห็นเพื่อนำไปห่อกับเนื้อ หากมอสเซอเรลล่าชีสจำนวนที่ได้ไม่เพียงพอ ขอเพิ่มกับพนักงานได้ตลอดครับ
2. นำมอสเซอเรลล่าชีสวางลงบนเนื้อ จะวางทีเดียวหมด 6 ก้อน หรือมากกว่า น้อยกว่าได้ทั้งนั้นครับ
จากนั้นให้นำไปใส่กระบวย ตามด้วยจุ่มลงในน้ำซุปรสชาติไหนก็ได้ ยิ่งต้องการให้ชีสยืดมากขึ้นเท่าไร ก็ต้องใส่ชีสให้หนักขึ้นเท่านั้น
3. ทิ้งเนื้อกับมอสเซอเรลล่าชีสให้ละลายด้วยกันในหม้อชาบู ส่วนใครที่อยากสัมผัสชีสล้วนๆ
ให้ลองนำมอสเซอเรลล่าชีสจุ่มลงหม้ออย่างเดียวโดยไม่ต้องใส่เนื้อสัตว์ก็ได้ครับ
4. เมื่อทุกอย่างสุกกำลังดี ให้นำเนื้อ และมอสเซอเรลล่าชีสขึ้นมาจากหม้อ
ลองสังเกตุดูว่าชีสยืดออกมาถูกใจหรือยัง ถ้าพอใจแล้วนำไปทานกับน้ำจิ้มได้เลย
ขั้นตอนการทานปลาสวรรค์กรอบ+มอสเซอเรลล่าชีส
1. ซองปลาสวรรค์กรอบมีไว้ประจำทุกโต๊ะ เตรียมให้ทานสนุกกับมอสเซอเรลล่าชีส
2. นำปลาสวรรค์กรอบ+มอสเซอเรลล่าชีส จุ่มลงไปในหม้อชาบู กับน้ำซุปรสชาติใดก็ได้
ซึ่งขั้นตอนการทานจะเหมือนกับการทานเนื้อเลยครับ
ข้อแนะนำ :
ระยะเวลาการลวกชีสกับเนื้อต่างๆ ลงในหม้อ ทิ้งเวลานานแค่พอให้ชีสละลายซึมติดกับเนื้อ หากทิ้งชีสนานไป ชีสจะเหลวเกินพอดีจนไม่สามารถยืดได้เป็นรูปทรงครับ
อาหาร
อาหารหลักประเภทต่างๆ อย่าง เนื้อ, หมู, ลูกชิ้น, ข้าวผัดกระเทียม และผักต่างๆ จะเน้นให้ลูกค้าบริการหยิบด้วยตัวเองนะครับ โดยที่นี่แบ่งอาหารแต่ละหมวดไว้อย่างชัดเจน เนื้อกับหมู และผักจะอยู่โซนเดียวกัน ส่วนลูกชิ้นแต่ละแบบ พร้อมข้าวผัดกระเทียมจะแยกมาอีกส่วน ทำให้ลูกค้าเดินเลือกได้สะดวก
สำหรับหม้อชาบูของทางร้านสามารถใส่น้ำซุปได้ทีละ 2 รสชาติ ใครชอบเร่งให้เนื้อสุกเร็ว แล้วปรับความร้อนระดับสูงสุดซึ่งความร้อนของหม้อสูงสุดคือ P 8 แต่ระวังหม้อจะไหม้เร็วเกินไปนะครับ ผมแนะนำให้ปรับระดับกลางคือ P 4 จะดีกว่า
น้ำซุป
ทีมงานเลือกน้ำซุปดำ (ซ้าย) และซุปต้มยำ (ขวา) เฉพาะซุปต้มยำต้องบวกเพิ่มอีก (30 ฿)
น้ำซุปของร้านมีให้เลือกหลายแบบด้วยกันคือ ซุปดำ, ซุปต้มยำ และซุปใส โดยหม้อชาบูสามารถใส่นำซุปได้ 2 ช่อง ใครมาทานจะได้รับความอร่อยจากซุปรสชาติโปรดทีเดียว 2 รสชาติ
ใครที่ชอบซุปที่ให้ความหวานเล็กน้อยควรเลือก “ซุปดำ” ซึ่งทางร้านบอกว่าซุปดำมาจากปลาโอ หรือปลาจากญี่ปุ่น ส่วนใครชอบซุปสไตล์ไทย ที่มีรสเผ็ดแต่พอดีต้องสั่ง “ซุปต้มยำ” แต่ถ้าใครไม่ชอบน้ำซุปที่ออกหวาน และเผ็ดให้สั่งเป็น “ซุปใส” เพื่อจะได้รสกลมกล่อมจากกระดูกหมูครับ
น้ำจิ้ม
ในส่วนน้ำจิ้มยังถูกจัดโซนเป็นหลักเป็นแหล่งเพื่อให้สะดวกในการปรุงกับ 3 ขั้นตอน อันดับแรกคือการเทน้ำซอสดำลงในถ้วย ต่อมาให้ตักซอสแดงสูตร Happy Pot Shabu ลงไปผสมกับซอสดำที่เทเมื่อสักครู่ และท้ายสุดคือการเติมพริก กระเทียม และต้นหอม ปริมาณตามความชอบ จากนั้นทำการตีทุกอย่างที่ใส่ลงในถ้วยให้เข้ากันให้ได้รสชาติลงตัว หากใครไม่ชอบน้ำจิ้มสไตล์นี้ทางร้านมีน้ำจิ้มสุกี้เตรียมไว้ให้แทนครับ
อ่านขั้นตอนต่างๆ ให้เข้าใจ ก่อนลงมือปฏิบัติการปรุงน้ำจิ้มกันนะครับ
ขวดสูงๆ ทางด้านหลังคือซอสดำ ส่วนถ้วยด้านหน้าที่มีช้อนตักคือซอสแดง
เมื่อนำทุกอย่างใส่ไว้ในถ้วยเดียวกัน จึงเกิดเคมีลงตัวของน้ำจิ้ม
ความรู้สึกต่อน้ำจิ้ม :
“ซอสดำ” ที่เป็นน้ำใสๆ สีดำทางร้านบอกว่ามาจากโชยุ และรสชาติที่ได้คือความหวาน และเค็ม ส่วนซอสแดงที่ออกข้นๆ จะมาจากพริกเผา รสชาติออกเปรี้ยว และเผ็ด เมื่อนำทั้ง 2 ซอสมารวมกับพริก กระเทียม ต้นหอม เพราะเครื่องแน่นทุกกระบวนการแบบนี้ จึงทำให้ได้รสชาติจัดจ้านครบทุกรสชาติ
เนื้อวัวใบพาย
เนื้อวัวใบพายเป็นเนื้อที่แน่น เพราะใช้เนื้อบริเวณช่วงขาของวัว ลักษณะมีเอ็นแทรกตรงกลางตลอด และสีของเนื้อจะแดงแบบเด่นชัด
เนื้อกระแสดีประจำร้านอย่างวัวใบพาย เมื่อรวมตัวกับชีสจนเป็นเนื้อเดียวกัน รสชาติที่ได้จึงเข้ากัน
ความรู้สึกต่อเนื้อวัวใบพาย :
ที่ร้านมีการตัดเนื้อวัวใบพายออกมาขนาดสม่ำเสมอกัน ทำให้เนื้อแน่นเท่าๆ กัน ส่วนของเอ็นจะไม่เหนียวมาก ช่วยเพิ่มสีสันให้เนื้อไม่ราบเรียบจนน่าเบื่อเกินไปครับ
เนื้อวัวริบอาย
เนื้อวัวริบอายทุกชิ้นจะมีมันแทรกอยู่ การสไลด์ตัดชิ้นเนื้อถือว่าไม่หนาเกิน และไม่บางไปครับ ที่นี่ไม่ว่าเนื้อประเภทไหนๆ จะตัดได้ขนาดมาตรฐานใกล้เคียงกันดี
เนื้อวัวริบอายมีมันแทรกเป็นส่วนๆ ทุกชิ้น
ความรู้สึกต่อเนื้อวัวริบอาย :
เนื้อวัวริบอายเคี้ยวง่าย และนุ่มอร่อย ยิ่งลองทานพร้อมมอสเซอเรลล่าชีส จะช่วยเพิ่มความนุ่มเข้าไปอีก ซึ่งเนื้อมีรสเค็มเพียงเล็กน้อย เหมาะกับคนที่ประทับใจอาหารรสชาติออกเค็มหน่อยๆ ใครที่เลี่ยงรสเค็ม หรือจัดจ้าน จะทานเนื้อแบบไม่มีน้ำจิ้มก็ได้ครับ
เนื้อหมูสันคอ
เนื้อหมูสันคอจะนุ่มละมุนกว่าเนื้อสันนอกเพราะมีมันผสม เนื่องจากชื่อ และหน้าตาของเนื้อ มีความละม้ายคล้ายกันให้สังเกตว่าเนื้อหมูสันคอ เนื้อจะมีสีอ่อนๆ ออกชมพูมากกว่าเนื้อสันนอก เวลาไปตักจะได้ไม่หยิบสลับกันครับ
เมื่อเนื้อหมูสันคอพันตัวอยู่กับชีส จึงดูมีเส้นสายระโยงระยางเกิดขึ้น
ความรู้สึกต่อเนื้อหมูสันคอ :
หมูสันคอเมื่อนำมาต้ม จากสีเนื้อชมพูอ่อนจะกลายเป็นสีขาวขึ้น เมื่อทานกับชีสจะรู้สึกเหมือนหมูจะนุ่ม และยืดหยุ่นตามชีสได้ดีครับ
เนื้อหมูสันนอก
เนื้อหมูสันนอกจะมีส่วนเนื้อสีแดงสดค่อนข้างมาก เนื้อจะหนากว่าสันคอเล็กน้อยครับ
เนื้อหมูสันนอกสีแดงสด เนื้อแน่นหนารวมตัวกันในถาด
ความรู้สึกต่อเนื้อหมูสันนอก :
เนื้อหมูสันนอกเหมาะกับคนที่รักษารูปร่างเพราะให้โปรตีนสูง ยิ่งนำชีสไปห่อ ระวังอาจอิ่มเร็วได้นะครับ
เนื้อหมูสามชั้นสไลด์
หมูสามชั้นสไลด์ ซึ่งจะมีส่วนของมันมากกว่าบริเวณเนื้อ และมีการผ่ากลางของช่วงเนื้อ เพื่อให้สะดวกต่อการคีบกับตะเกียบมากขึ้น
เนื่องจากหมูสามชั้นสไลด์เมื่อลงหม้อ ความมันจะเต็มแผ่นเห็นได้ชัด จึงขอพักยกในการจุ่มกับชีส
ความรู้สึกต่อเนื้อหมูสามชั้นสไลด์ :
แม้ว่าหมูสามชั้นสไลด์จะมีมันค่อนข้างเยอะ แต่รสชาติโดยรวมดี ใครที่ทานอะไรมันๆ แล้วเกิดอาการเลี่ยนง่าย น่าจะทานหมูสามชั้นสไลด์ได้ไม่เยอะเท่าที่ควร ถ้าเป็นอย่างนั้นควรเลี่ยงทานหมูสามชั้นสไลด์กับชีสจะดีกว่าครับ เพราะเดี๋ยวถ้ายิ่งทานชีสเข้าไปด้วยจะยิ่งเลี่ยนไปกันใหญ่
เบคอน
ทางร้านจะใส่เบคอนมาในถาดจำนวน 3 ชิ้น ส่วนของมันในเบคอนจะยังมีไม่เยอะจนเกินไป ซึ่งเมนูนี้ค่อนข้างได้รับความนิยมนะครับ ผมเห็นเบคอนในตู้แช่ดูเหมือนจะหมดเร็วกว่าเนื้อประเภทอื่น ใครที่มาแล้วต้องรีบมุ่งตรงไปหยิบเบคอนกันไว้ก่อน จะได้ไม่พลาดความหอมหวนน่าลิ้มลองจากเบคอน
เบคอนในส่วนมัน จะมีแค่ตรงขอบ
ความรู้สึกต่อเบคอน :
ถ้าเทียบกับหมูสามชั้นสไลด์ มันของเบคอนจะน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ทานเบคอนได้เรื่อยๆ ขนาดทานเบคอนจนอิ่มยังไม่รู้สึกเลี่ยนเลยครับ
แฮม
แฮมได้ถูกหั่นให้เป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสพอดีคำช่วยให้ทานได้ง่ายขึ้น ทำให้เคี้ยวได้สะดวก
แฮมหั่นมาพร้อมทาน จึงไม่ต้องเสียเวลาตัดชิ้นแฮมเอง
ความรู้สึกต่อแฮม :
ขนาดของแฮมแม้จะหั่นเป็นชิ้นเล็กพอดีคำ แต่ไม่ทำให้ความหนาแน่นจากเนื้อแฮมน้อยลงแต่อย่างใด และยังคงเหลือความเค็มสไตล์เนื้อแฮม ใครที่ชอบรสเค็มพอประมาณคาดว่าของถูกใจแฮมจากที่นี่ครับ
หมูไม้ไผ่
เป็นหมูที่บดละเอียดนำไปคลุกเคล้าให้เข้ากันกับเครื่องเทศ และพริกไทย ปริมาณของหมูบดไม้ไผ่ในถาดดูจะยังไม่เยอะ คงต้องหยิบกันหลายถาดกว่าจะอิ่มครับ
หมูบดไม้ไผ่ บดดูละเอียด คนสุขภาพฟันไม่แข็งก็สามารถทานได้สบาย
ความรู้สึกต่อหมูไม้ไผ่ :
รสชาติเข้าถึงเครื่องเทศ และพริกไทยดีครับ แต่ถ้านำไปห่อชีส ดูจะห่อลำบากกว่าเนื้อประเภทอื่น ด้วยเนื้อหมูที่บดมาแบบละเอียด จึงทำให้ยากแก่การห่อกับชีส
ลูกชิ้น
เป็นร้านที่นอกจากจะใส่ใจทั้งเมนูเนื้อ และหมู ยังสรรหาเมนูลูกชิ้นมาให้ลูกค้าไม่ซ้ำแบบ ทำให้หม้อชาบูของร้าน Happy Pot Shabu แห่งนี้มีสีสัน ไม่จำเจ และเต็มอิ่มกับสารพัดเมนู ในหมวดลูกชิ้นที่มีรูปร่างหน้าตาน่าสนใจเป็นพิเศษ ได้แก่ ลูกชิ้นปลาชีสลาวา, คริสตัลแจ่ว และคริสตัลไข่เค็ม
ลูกชิ้นปลาชีสลาวา มีลาวาที่มาจากชีสอัดแน่นเต็มเปี่ยม
คริสตัลแจ่ว มีน้ำจิ้มแจ่วผสมผสานอยู่ภายในนี้
ใครกำลังอยากทดสอบโดยการเปิดดูไส้คริสตัลไข่เค็มดังภาพ ระมัดระวังเรื่องความร้อนกันด้วยครับ
ความรู้สึกต่อลูกชิ้นปลาชีสลาวา : ลูกชิ้นมีกลิ่นคาวอยู่พอประมาณ แต่พอโดนส่วนของน้ำลาวาที่เข้มข้นช่วยให้ความคาวของลูกชิ้นปลาเบาบางลง
ความรู้สึกต่อคริสตัลแจ่ว : จะรู้สึกเย็นๆ กับใส่แจ่วที่ทะลักออกมา ความเย็นที่ได้เกิดจากการแช่ แต่ประมาทไม่ได้นะครับ เพราะบางชิ้นอาจจะร้อนมากเกินไปจนตั้งตัวไม่ทัน
ความรู้สึกต่อคริสตัลไข่เค็ม : ได้กลิ่นไข่เค็มเบาๆ อารมณ์ประมาณเหมือนได้ทานขนมไส้ไข่เค็มครับ
ข้าวผัดกระเทียม
ข้าวผัดกระเทียมสไตล์ญี่ปุ่น ข้าวนุ่ม และมีเอกลักษณ์ตรงความหอมของกระเทียมชวนให้น่าทาน เมื่อนำต้นหอมซอยมาโรยหน้าเพิ่มสีสันให้ข้าวผัดกับเทียมได้ดียิ่งขึ้น
ข้าวผัดกระเทียมต้องโรยหน้าด้วยต้นหอมซอยถึงจะครบเครื่อง
ความรู้สึกต่อข้าวผัดกระเทียม :
เมล็ดข้าวเรียงตัวได้สวย และให้ความนุ่ม ซึ่งทางร้านบอกว่าสูตรข้าวเป็นการผัดสไตล์ญี่ปุ่น ใครไม่ชอบต้นหอมซอยจะไม่ใส่ก็ได้ครับ เพราะทางร้านได้แยกต้นหอมซอย กับข้าวผัดกระเทียม ออกจากกันไว้แล้ว
บะหมี่ผักมิโรเฮยะ
บะหมี่ผักมิโรเฮยะ ชนิดอบแห้งมีลักษณะเป็นก้อนสีเขียวอ่อน คนรักเส้นบะหมี่สามารถทานได้แบบจุใจกันเลยครับ ที่มีเตรียมไว้ให้ได้หยิบทานกันต่อเนื่อง
บะหมี่ผักมิโรเฮยะก้อนเดียว แต่ให้ความอิ่มอร่อยได้หลายคน
ความรู้สึกต่อบะหมี่ผักมิโรเฮยะ :
บะหมี่ที่มีการผสมผักมิโรเฮยะ ก่อนนำไปต้มเห็นลักษณะดูแข็งแบบนี้ แต่หลังจากนำขึ้นมาจากหม้อใหม่ๆ เคี้ยวแล้วจะรู้สึกถึงความหนึบของเส้นจนลืมภาพเป็นก้อนแข็งๆ ไปเลย หากใครนำเส้นขึ้นมาจากหม้อ และปล่อยทิ้งไว้นาน เส้นจากสีเขียวอ่อน จะกลายเป็นสีเหลืองอ่อน ลักษณะเส้นจากความหนึบ จะกลายเป็นความนิ่มแทน ใครที่ไม่อยากออกแรงเคี้ยวเส้นบะหมี่ผักมิโรเฮยะ เมื่อนำขึ้นมาจากหม้อลองทิ้งไว้สักครู่แล้วค่อยทานก็ได้ครับ
เมนูของทอด
มาถึงเมนูทอด เมนูที่เราไม่ต้องบริการตัวเองเลยครับ เพียงแค่ติ๊กเลือกรายการจะกระดาษบนโต๊ะ แล้วส่งให้พนักงาน จากนั้นรออาหารมาเสิร์ฟ วันนี้ผมเลือกมา 3 รายการคือ โรแฮมชีส, เกี๊ยวซ่า และไก่สไปซี่
โรแฮมชีส มีผักโขม และชีส อยู่ข้างใน ทานคู่กับซอสมะเขือเทศ
โรแฮมชีส, เกี๊ยวซ่า และไก่สไปซี่ รวมจานเดียวยังเข้ากันดี
ความรู้สึกต่อโรแฮมชีส : ข้างในโรแฮมชีสมาใหม่ๆ จะอุ่นๆ เมื่อลองหักแท่งโรแฮมชีส จะมีชีสข้างในสามารถยืดออกมาได้ แต่แป้งภายนอกดูแข็ง และยังไม่กรอบเท่าที่ควรครับ
ความรู้สึกต่อเกี๊ยวซ่า : เกี๊ยวซ่ายังดูแข็ง และแห้งไปครับ ส่วนไส้ข้างในรู้สึกรสชาติจะจืดอยู่บ้างครับ แต่เมื่อนำมาทานกับน้ำจิ้มสูตรจากทางร้าน ทำให้เกี๊ยวซ่าเข้มข้นขึ้นครับ
ความรู้สึกต่อไก่สไปซี่ : แม้ชื่อเมนูจะดูเผ็ด แต่รสชาติไม่ได้เผ็ดเหมือนชื่อ เหมาะสำหรับคนทานเผ็ดได้เพียงเล็กน้อย แต่เนื้อไก่จัดว่านุ่มทั้งชิ้น
ของหวาน และเครื่องดื่ม
ของหวานที่รวมอยู่ในบุฟเฟต์จะเป็นไอศกรีมโฮมเมดที่ทางร้านรับมาอีกที โดยมี 3 รสเป็นตัวยืนหลักคือ รสดับเบิ้ลช็อค, รสช็อคโกแลตชิพ และรสมะนาว ส่วนรสคาปูชิโนจะมีเพียงบางวันครับ
ส่วนเครื่องดื่มถ้าต้องการเป็นแบบรีฟิลจะมีแค่เฉพาะชาเขียวเย็น และชาเขียวร้อนเท่านั้นครับ ทำให้คนรักเครื่องดื่มประเภทรีฟิลมีตัวเลือกน้อยเกินไป
ไอศกรีมรสช็อคโกแลตชิพสไตล์โฮมเมด
ชาเขียวเย็น แบบรีฟิล (30 ฿)
ความรู้สึกต่อของหวาน และเครื่องดื่ม :
ไอศกรีมโฮมเมดของร้านรสชาติเข้มข้น นุ่ม แน่น เนียน และละลายช้า แต่สำหรับไอศกรีมที่มีรสคาปูชิโนมีเพียงบางวัน ทำให้คนชื่นชอบไอศกรีมกลิ่นกาแฟหากมาทานที่ร้านในวันที่ไม่มีไอศกรีมรสชาตินี้อาจรู้สึกเสียดายก็เป็นได้ครับ
แม้รายการเครื่องดื่มที่ทางร้านจัดเตรียม ถือว่ามีตัวเลือกอยู่มากโดยเฉพาะเครื่องดื่มอิตาเลี่ยนโซดา แต่สำหรับเครื่องดื่มประเภทรีฟิลยังมีให้เลือกน้อยเกินไป เพราะมีเพียงชาเขียวเย็น และชาเขียวร้อนเท่านั้น
การเดินทาง
แผนที่จาก Facebook Happy Pot Shabu
ร้าน Happy Pot Shabu ตั้งอยู่ใกล้กับวัดสิงห์ จะอยู่เยื้องไปรษณีย์บางขุนเทียน กรณีที่นำรถส่วนตัวมาเอง เลือกมาได้จากหลายๆ เส้นทาง เช่น มาทางราชพฤษ์ หรือแยกกำนันแม้น หรือจะมาทางด้านหลังของถนนพระราม 2 เพื่อให้ผ่านแยกกำนันแม้นก็ได้เช่นกัน โดยร้านจะตั้งอยู่ชั้น 1 P&C Mansion ถนนเอกชัย หากใครไม่ชำนาญเส้นทางให้ Search ใน Google Map คำว่า “วัดสิงห์” เพื่อใช้ดูประกอบเวลาเดินทางมานะครับ
บริเวณที่มีเก้าอี้กั้นตรงหน้าร้าน สามารถนำรถมาจอดได้เลยครับ แต่ถ้าหน้าร้านมีรถจอดเต็มแล้ว สามารถขับรถไปจอดได้ที่ข้างโรงเรียนมัธยมวัดสิงห์ หรือในซอยวัดสิงห์ และภายในซอยของศาลธนบุรี ส่วนริมถนนจะจอดได้ต่อเมื่อหลังจาก 19.00 น. ขึ้นไปครับ
ใครที่มารถไฟฟ้าบีทีเอสให้ลงสถานีวุฒากาศ ให้ออกประตูที่ 1 จากนั้นนั่งแท็กซี่ หรือวินมอเตอร์ไซค์เข้ามา จะบอกว่ามาซอยข้างๆ วัดสิงห์ก็ได้ครับ หรือบอกเป็นชื่อร้านเลยก็ได้ และให้สังเกตทางด้านซ้ายเข้าไว้ ร้านจะอยู่ระหว่างซอยเอกชัย 43 กับ 43/1 ครับ
SPONSORED
การประเมิน และให้คะแนน
รูปแบบของการประเมิน |
คะแนน |
รสชาติอาหาร |
4.2 |
บรรยากาศ |
3.6 |
การบริการ |
3.9 |
ความคุ้มค่า |
4.4 |
คะแนนเฉลี่ย |
4 |
อาหารของที่นี่มีหลากหลายจนไม่น่าเชื่อว่าร้านบุฟเฟต์ที่เมนูไม่ค่อยซ้ำจำเจ และมีให้เลือกกันมากขนาดนี้ แถมยังมีเรื่องชีสที่บริการแบบให้ไม่อั้น สามารถทานได้ในราคา (299 ฿) เท่านั้น
ที่นี่แบ่งโซนการวางอาหารได้เหมาะสม เนื้อก็จะอยู่ส่วนเนื้อ ลูกชิ้นที่มีหลายแบบก็ถูกแยกมุมออกมา ส่วนน้ำจิ้มก็แยกออกไปอีกด้าน ผมว่าแบ่งโซนให้กระจายแบบนี้ถูกต้องแล้วครับ เพราะพื้นที่ร้านค่อนข้างจะเล็กไปถ้าเทียบกับปริมาณคนที่เขามาอย่างเนืองแน่น เวลาตักอาหารจะได้ไม่ต้องแออัดเฉพาะมุมใดมุมหนึ่ง ส่วนภาชนะที่นำมาใส่อาหารจะมีทั้งถาดทรงยาว และทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ข้อดีที่ผมลองสัมผัสได้เองคือช่วยเฉลี่ยพื้นที่การวางถาดอาหารบนโต๊ะให้สมดุลกัน ถาดทรงยาวแต่ดูแคบกว่า ก็จะช่วยให้ไม่กินพื้นที่ของโต๊ะมากไป ส่วนถาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีขนาดเล็กกะทัดรัดกว่า ทำให้โต๊ะสามารถวางอาหารได้มากขึ้น
น้ำจิ้มจากทางร้านคนที่มาทานสามารถลงมือปรุงแต่งได้เองตามความชอบ ทำให้กำหนดความจัดจ้านของน้ำจิ้มได้ด้วยสไตล์ของตัวเอง
เนื้อหลายๆ เมนูที่นี่อาจติดเรื่องเค็มบ้าง แต่ไม่ได้เค็มเกินจนทานไม่ได้นะครับ เพราะเนื้อแบบนี้ถ้ามาทางจืด เกรงว่าคงจะไม่อร่อย แต่มาร้านนี้ผมว่าตอบโจทย์ได้ทุกรสเพราะมีทั้งเมนูเผ็ดระดับน้อยไปจนถึงเผ็ดมาก และเค็มระดับน้อย ไปจนถึงเค็มมาก
หม้อชาบูที่นี่ดูจะสามารถปรับระดับได้ง่าย และมีฟังชั่นก์ปรับได้หลายระดับ แต่ผมว่าระดับ P 4 คือระดับกลางๆ ช่วยให้เนื้อสุกง่ายกำลังดี ไฟไม่อ่อน และไม่แรงจนเกินไป ช่วยให้ลูกค้าควบคุมอุณหภูมิหม้อได้อย่างสะดวก
แม้จะมีเครื่องดื่มหลายอย่างนับสิบรายการ แต่ว่ามีให้เลือกสั่งแบบรีฟิลน้อยเกินไป ซึ่งอาจทำลายความตั้งใจของคนที่มุ่งมั่นอยากดื่มแบบประเภทรีฟิลจริงๆ
ช่วงที่ร้านคนเต็มทุกโต๊ะ อากาศข้างในนี้จะค่อนข้างอบอ้าว บวกกับไอของหม้อชาบูที่เดือดระอุอยู่ตลอด อาจส่งผลให้ภายในนี้ร้อนเพิ่มขึ้น แต่เห็นว่าทางร้านกำลังเร่งปรับปรุงโดยการติดตั้งเครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้นภายในร้านครับ
ส่วนพนักงานทางร้านมีความใส่ใจดีนะครับ หมั่นคอยถามเรื่องอาหารว่าได้ครบหรือเปล่า หากใครที่ยังไม่ทราบวิธีการทานบุฟเฟต์ชีสจากที่นี่ พนักงานพร้อมสาธิตวิธีการทำ และอธิบายขั้นตอนการทานจนเข้าใจถึงที่โต๊ะเลยครับ
เรื่องราคาปรับอาหารกรณีที่ทานเหลือ แม้ค่าปรับจะขีดละ (50 ฿) ซึ่งราคาถือว่าสูงพอสมควร แต่ถ้าเทียบกับราคาบุฟเฟต์ (299 ฿) ผมว่าเหมาะสม ซึ่งช่วยตัดปัญหาการทานเหลือจากลูกค้าที่ชอบทานทิ้ง ทานขว้าง ทุกคนที่เข้ามาทานจะได้รักษาวินัยในการทานให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยตักมาทานแค่พออิ่มเท่านั้นครับ
จุดเด่น Happy Pot Shabu
1. เป็นร้านบุฟเฟต์ชาบูที่มีเมนูหลากหลาย ทั้งเนื้อหมู, เนื้อวัว, ลูกชิ้น, เกี๊ยว และผักต่างๆ
2. การจัดวางอาหารตามโซนต่างๆ แบ่งได้ตามสัดส่วนเหมาะสมกับบริเวณร้าน
3. มีความห่วงใยลูกค้าที่มีอาการสายตาสั้น จึงมีบริการแว่นขยายเพื่ออำนวยความสะดวกในการอ่านเมนู
4. พนักงานพร้อมให้คำแนะนำ และสาธิตเรื่องวิธีการทานด้วยความเต็มใจ
5. ไส้จากลูกชิ้นแน่น มีหลากหลายรูปแบบ มาทานแค่ลูกชิ้นก็ยังดูคุ้มค่า
6. บุฟเฟต์ราคา (299 ฿) ทานได้ 1 ชั่วโมง 40 นาที ยิ่งสามารถเติมชีสแบบไม่มีจำกัด ถือว่าราคาคุ้มค่ามากกว่าหลายที่
7. เมนูอาหารทุกอย่างจะมีป้ายชื่อบอก ช่วยให้ลูกค้าจำง่าย และสะดวกต่อการเลือกหยิบว่าเมนูนี้ชื่ออะไร และนำมาจากมุมไหน
8.มีซุปมีให้เลือก 3 แบบ 3 รสชาติ ทั้งรสหวานจากซุปดำ รสกลางๆ จากซุปใส และรสเผ็ดอ่อนๆ จากซุปต้มยำ
9. น้ำจิ้มสามารถปรุงแต่งได้เอง ทำให้ทุกคนที่มาทานไม่ว่าเป็นคนทานเผ็ด หรือไม่ทานเผ็ด ก็สามารถทานน้ำจิ้มที่นี่ได้ทั้งนั้น และการตั้งจุดเติมน้ำจิ้มได้ตั้งแยกจากตรงโซนเนื้อสัตว์ เพื่อลดความแออัดตามจุดต่างๆ ได้ดีครับ
10. ทางร้านใส่ใจลูกค้าหลายรูปแบบเรื่องน้ำจิ้ม คนที่ไม่ชอบรสชาติจากน้ำจิ้มสไตล์ปรุงเองของทางร้าน ยังมีน้ำจิ้มสุกี้ให้แทนครับ
11. บรรยากาศภายในร้านชวนให้รู้สึกเหมือนไปทานที่ร้านในห้างสรรพสินค้า แต่ราคาย่อมเยากว่า
ข้อเสนอแนะ
1. เวลาหยิบอาหารมาจากโซนต่างๆ หากต้องการวางถาดชั่วขณะเพื่อเลือกหยิบอาหารต่อ จะไม่ค่อยมีพื้นที่ให้วางสักเท่าไร เนื่องจากร้านมีพื้นที่จำกัดมากทำให้ต้องวนกลับไปที่โต๊ะเพื่อนำถาดอาหารไปวางก่อนแล้วค่อยเดินกลับมาเลือกอาหารใหม่ บางคนที่ไม่ค่อยชอบการบริการตัวเอง อาจรู้สึกไม่ค่อยประทับใจกับระบบนี้ครับ
2. เนื่องจากร้านตั้งอยู่ใกล้สถานศึกษา และมีราคาบุฟเฟต์ที่ไม่แพง ทำให้ผู้คนสนใจเข้ามาใช้บริการตั้งแต่ช่วงเวลาร้านเปิดจนถึงเวลาปิดทำการ จำนวนลูกค้าที่มากันแน่นตลอดเป็นสาเหตุให้เครื่องปรับอากาศของร้านต้องทำงานหนัก ยิ่งเมื่ออยู่ใกล้หม้อชาบูด้วยแล้วอาจรู้สึกร้อนกว่าปกติ
3. ที่นั่งรอคิวมีจำนวนน้อยไป ควรหากิจกรรมเพิ่มเติมให้ลูกค้าทำขณะรอ เช่น เพิ่มอุปกรณ์ลูกเล่นสำหรับใช้ถ่ายรูป, มีทีวีให้ลูกค้าได้ชมขณะรอ, เพิ่มหนังสือ นิตยสารให้ลูกค้าอ่าน หรือมี WiFi เป็นต้น
4. ทางร้านมีไอศกรีมโฮมเมดรสคาปูชิโนเป็นบางวันเท่านั้น ทำให้คนที่ชอบทานไอศกรีมรสชาติกลิ่นกาแฟ ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า มาแล้วจะได้ทานหรือไม่ ซึ่งปัจจุบันทางร้านมีไอศกรีมให้เลือก 3-4 รสชาติ ถือว่ายังมีตัวเลือกไม่เยอะเท่าที่ควร อนาคตอยากให้เพิ่มรสชาติของไอศกรีมโฮมเมดมากกว่านี้ครับ
5. อยากให้เพิ่มรายการรีฟิลของเครื่องดื่ม เพราะเครื่องดื่มประเภทรีฟิลมีเพียงชาเขียวร้อน และเย็นเท่านั้น ทำให้ลูกค้าที่ไม่ชอบดื่มชาเขียวหมดสิทธิ์ได้รับบริการประเภทรีฟิลจากเครื่องดื่มอื่นๆ
6. บริเวณพื้นตามใต้โต๊ะบางจุดยังมีฝุ่นหนา อยากให้เร่งแก้ไขเรื่องความสะอาดบริเวณพื้นให้สะอาดยิ่งขึ้นครับ
สำหรับใครที่ต้องการทั้งความสนุก และเป็นสุขกับราคาของบุฟเฟต์ ลองมาทานบุฟเฟต์ที่ให้ได้อิ่มอร่อยแบบไม่อั้นไปกับอาหารหลายรายการ และยังให้ชีสแบบไม่มีขีดจำกัด กับร้าน Happy Pot Shabu @ เอกชัย รับรองว่าบุฟเฟต์จากที่นี่มีดีมากกว่าที่คุณคิดครับ





