[รีวิว] Casa lapin (x Central world) คาเฟ่บ้านกระต่ายหลังใหม่ พร้อมเสิร์ฟกาแฟและเมนูหลากหลายให้เหล่ากระต่ายฮิปสเตอร์! @เซ็นทรัลเวิลด์
Casa Lapin คาเฟ่ยอดฮิตของวัยรุ่นฮิปสเตอร์ ตอนนี้ได้เปิดบ้านกระต่ายหลังใหม่แล้วที่เซ็นทรัลเวิลด์ ที่เรียกว่าบ้านกระต่ายนั้น เพราะคาซ่า ลาแปง เกิดจากการผสมคำระหว่างภาษาเยอรมันและฝรั่งเศส ซึ่งแปลว่าบ้านกระต่ายนั่นเองค่ะ เพื่อนๆ คงเคยได้ยินชื่อคาซ่า ลาแปงแน่นอน เพราะบ้านกระต่ายหลังนี้มีมาแล้วมากถึง 4 สาขา ได้แก่ อารีย์ สุขุมวิท 26 เอกมัย และราชเทวี ซึ่งที่เซ็นทรัลเวิลด์เป็นสาขาที่ 5 ค่ะ
สาขานี้มีความพิเศษมากเพราะเป็นสาขาต้นแบบที่จะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของแบรนด์ให้โตขึ้น ด้วยความตั้งใจนี้ทำให้สาขาเซ็นทรัลเวิลด์กลายเป็นสาขาที่มีความครบเครื่องมากที่สุดของการทำแบรนด์คาซ่า ลาแปง จึงทำให้ที่ร้านมีทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และของหวานมากกว่าสาขาอื่น รวมถึงมีสินค้าของแบรนด์จัดจำหน่ายด้วย สาขานี้จึงกลายเป็นสาขาที่สมบูรณ์ที่สุดของคาซ่า ลาแปงค่ะ รวมถึงทางร้านยังมี Taproom ที่เป็นพันธมิตรเบียร์ของคาซ่า ลาแปงมาเปิดด้วย เพื่อตอบสนองต่อกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายและถือเป็นการเติบโตขึ้นของตัวเอง นอกจากนี้แล้วทางร้านยังมีการปรับเปลี่ยนโลโก้ให้กลายเป็นกระต่าย ซึ่งสาขานี้ถือเป็นสาขาแรกค่ะ เหมือนกับกระต่ายตัวน้อยใน 5 ปีที่แล้ว ตอนนี้ได้เติบโตเต็มวัยแล้ว
นอกจากความพิเศษข้างต้นแล้ว ยังมีความพิเศษและความน่าสนใจอย่างอื่นที่รอให้ทุกคนเข้ามาสัมผัสค่ะ คาซ่า ลาแปงสาขานี้ตั้งอยู่ที่ชั้น 3 ของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ฝั่ง Zen หากใครมีเวลาก็ลองแวะมาบ้านกระต่ายหลังใหม่กันน้าา
การเดินทาง
สามารถเดินทางได้ด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอสลงสถานีชิดลม ทางออก 6 หรือสยามก็ได้ค่ะ จากนั้นเดินผ่านทางเชื่อม bts skywalk มายังศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ร้านจะอยู่ชั้น 3 ฝั่ง Zen ค่ะ
SPONSORED SPONSORED
เมนูและราคา
คาซ่า ลาแปงสาขานี้มีทั้งอาหาร เครื่องดื่มและขนมหวาน อาหารส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่ค่อนข้างเบาแต่อยู่ท้องค่ะเพื่อให้เข้าคอนเซ็ปต์ครัวเบาที่ทางร้านวางไว้ ส่วนเครื่องดื่มก็จะยังคงโดดเด่นเรื่องกาแฟ ใครที่เป็นคอกาแฟต้องห้ามพลาดเลยค่ะเพราะที่นี่มีทั้งเมล็ดกาแฟไทยและต่างประเทศให้เพื่อนๆ ได้เลือกทาน ส่วนขนมหวานมีหลากหลายพอสมควร สำหรับใครที่กลัวอ้วนไม่ต้องกลัวไปนะคะ เพราะเมนูของหวานทุกเมนูทางร้านได้ออกแบบให้เป็นเมนูรักสุขภาพค่ะ
เมนูกาแฟของทางร้านมีค่อนข้างหลากหลายค่ะ
ใครไม่ชอบทานกาแฟ มาลองเปลี่ยนเป็นม็อกเทลก็ได้น้า
เมนูอาหารตามคอนเซ็ปต์ครัวเบาของทางร้านค่ะ
Early Bird เครื่องดื่มกาแฟเพียง 70 บาท
บรรยากาศของร้าน
ร้านยังคงคอนเซ็ปต์การตกแต่งแบบเดิมค่ะแต่ด้วยความต้องการที่จะโตขึ้น ทำให้ร้านเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่หรูหรา เน้นโทนสีทองและเหลืองมากขึ้น นั่งแล้วรู้สึกสบายเหมือนอยู่บ้านค่ะ ตามผนังจะตกแต่งด้วยรูปภาพและมีต้นไม้อยู่ตามมุม ร่มรื่นดีค่ะ ในร้านมีโต๊ะค่อนข้างเยอะนะคะ มีทั้งโซนด้านในและด้านนอก สามารถรองรับคนได้ราวๆ 70 คนค่ะ แต่บรรยากาศในร้านค่อนข้างมืดเพราะทางร้านยังตกแต่งไม่เสร็จ ควรจะนั่งด้านนอก ถ้าเสร็จแล้วทุกอย่างคงลงตัวมากขึ้นค่ะ
เมนูเครื่องดื่มและอาหาร
อย่างที่บอกว่าทางร้านมีเครื่องดื่มค่อนข้างหลากหลาย แต่จะโดดเด่นเรื่องกาแฟ แต่สำหรับใครที่ไม่ใช่คอกาแฟทางร้านก็มีเมนูเครื่องดื่มอื่นให้บริการนะคะ พวกน้ำผลไม้ ม็อกเทล เป็นต้น ส่วนอาหารแม้จะมีไม่มากแต่ก็ถือว่าเยอะสำหรับอาหารในร้านคาเฟ่ ทานเบาๆ สบายและอยู่ท้องค่ะ
Flat white
กาแฟตัวนี้กำเนิดขึ้นที่ประเทศออสเตรเลียค่ะ เมื่อทางร้านนำเข้ามาจึงได้ปรับให้เข้ากับความชอบของคนไทย กาแฟตัวนี้จะให้ความรู้สึกคล้ายกับทานลาเต้ค่ะ เมื่อทานเข้าไปจะได้กลิ่นกาแฟ แต่รสกาแฟจะเข้มกว่าเลเต้นิดหน่อย เพราะกาแฟที่ใช้เป็นช็อต Ristretto ซึ่งรสจะเข้มกว่าช็อตเอสเปรสโซ
Flat white (120 บาท)
Black and White
แค่ชื่อเพื่อนๆ ก็น่าจะเดาได้นะคะว่ามีกาแฟสองแบบ คือ black และ white ซึ่งจะถูกเสิร์ฟมาในแก้วที่สั่งทำเป็นพิเศษเรียกว่าแก้ว piccolo ค่ะ เป็นแก้วกาแฟไซส์จิ๋ว ที่ต้องใช้แก้วกาแฟขนาดนี้เพราะว่าทางร้านให้ความสำคัญกับกลิ่นและรสของตัวกาแฟ ถ้าแก้วเล็กเวลาทานเราก็จะได้รับกลิ่นหอมของกาแฟมากขึ้นนั่นเองค่ะ กลับมาที่ตัวกาแฟกันบ้างดีกว่า เริ่มที่ตัวแรกเลย Black เป็นช็อตเอสเปรสโซ สีของกาแฟเข้มมาก ทางร้านให้มาในปริมาณที่น้อย เพื่อนๆ อาจจะตกใจว่าทำไมให้ปริมาณเท่านี้ แต่เมื่อชิมแล้วก็จะรู้ค่ะเพราะว่ากาแฟเข้มมากๆ เลย ตัวที่สอง white แค่ชื่อก็น่าจะรู้แล้วค่ะว่าตัวนี้จะต้องต่างจาก black แน่นอน ตัวนี้เป็นช็อตที่ผสมกับนมค่ะ ดูแล้วให้ความรู้สึกคล้ายๆ ลาเต้ สีนวลๆ ดูทานง่ายค่ะ
Black and White (140 บาท)
Steampunk
กาแฟตัวนี้พิเศษมากๆ ค่ะ เพราะผ่านการผลิตจากเทคโนโลยีล่าสุดของการชงกาแฟผ่านเครื่องที่เรียกว่า Steampunk เครื่องนี้จะถูกควบคุมด้วยการสั่งงานผ่านระบบคอมพิวเตอร์ค่ะ ล้ำสมัยสุดๆ ถ้าเราอยากทานกาแฟแบบนี้ ขั้นแรกเราต้องเลือกเมล็ดกาแฟค่ะ ว่าจะทานกาแฟแบบไหน ตอนนี้ทางร้านมีกาแฟอยู่สองแบบ แบบแรกคือ เมล็ดกาแฟไทย แบบที่สองคือ เมล็ดกาแฟจากต่างประเทศ ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 4 ประเทศด้วยกัน คือ เอธิโอเปีย เคนยา คอสตาริกา และโคลอมเบียค่ะ ซึ่งกาแฟที่ได้ทานวันนี้เป็นเมล็ดกาแฟจากโคลัมเบีย สำหรับใครที่อยากลองก็ลองเข้าไปสอบถามกับบาริสต้าได้นะคะ เพราะทางร้านจะมีเมล็ดกาแฟให้ลูกค้าได้ลองกลิ่นก่อน หรือถ้าใครไม่รู้ว่าตัวเองชอบแบบไหนก็ลองให้บาริสต้าแนะนำดูก็ได้ค่ะ
Steampunk (200 บาท)
หน้าตาของเครื่อง Steampunk ก็จะเป็นประมาณนี้ค่ะ ทุกอย่างควบคุมได้ด้วยแท็บแล็ต
ความล้ำสมัยของเครื่อง Steampunk คือสามารถควบคุมรสชาติ กลิ่นได้ตามที่ต้องการ ทำให้รสชาติของกาแฟคงที่ค่ะ
ชาไทย
ชาไทยตัวนี้ถือเป็น signature ของร้านเลยค่ะ เพราะทางร้านได้คิดค้นหัวเชื้อชาไทยเข้มข้นขึ้นเอง และไม่ใส่นมข้นเหมือนชาไทยทั่วไป แต่ทางร้านเลือกใส่คาราเมลแทน ด้านล่างมีอัลมอนด์ให้ได้เคี้ยวกันไปพร้อมๆ กับชาไทย
ชาไทย signature ของทางร้าน (140 บาท)
Spicy Magarita
มาถึงเมนูม็อกเทลกันบ้าง แม้จะเป็นค็อกเทลแต่ไม่มีแอลกอฮอล์นะคะ สีของน้ำจะเป็นสีส้มสด ด้านบนตกแต่งด้วยพริกและมะนาว จุดขายของเมนูนี้คือ เกลือที่โรยอยู่ตรงขอบแก้ว มีเกลือทั้งหมดสามชนิด คือ pink plum, white salt และbrown spice ซึ่งเราสามารถเลือกได้นะคะว่าจะทานเกลือแบบไหน ซึ่งในรูปเป็นเกลือแบบ pink plum ค่ะ จะเป็นเกลือผสมบ๊วย
Spicy Magarita (165 บาท)
Pina Colada
ตัวนี้เป็นน้ำสับปะรดค่ะ สีของน้ำจะออกเหลืองอ่อนๆ กำลังน่าทาน ด้านล่างเป็นไอศกรีมมะพร้าว ซึ่งจะทำการผสมตามสัดส่วนของร้านค่ะ ตอนทานเราก็ต้องคนให้เข้ากันเหมือนเมนูเครื่องดื่มเชค แต่ถ้าใครอยากตักไอศกรีมทานก็ได้นะคะ
Pina Colada (165 บาท)
แซนด์วิชหน้าไข่คนและอาโวคาโด (Scrambled egg and avocado)
หน้าตาของเมนูนี้เห็นแล้วน่าทานมากๆ ค่ะ สีสวย ตัวขนมปังค่อนข้างใหญ่และหนา ซึ่งสอบถามจากทางร้าน ขนมปังชนิดนี้เป็นขนมปังบริยอชค่ะ ที่จะนุ่มและขอบไม่แข็ง ทาด้วยอาโวคาโดและมีแฮมวางทับอีกที ตกแต่งด้วยมะเขือเทศ หัวหอมใหญ่ และด้านบนเป็นไข่คน เครื่องเคียงเป็นสลัดผักราดด้วยน้ำสลัดบัลซามิคค่ะ
แซนด์วิชหน้าไข่คนและอโวคาโด (220 บาท)
แซนด์วิชแซลมอนครีมชีส (Salmon cream cheese)
จานนี้เป็นขนมปังซาวร์โด ทาด้วยครีมชีส และวางด้วยแซลมอนที่แล่มาพอดีคำ ตกแต่งด้วยหัวหอมใหญ่ ไข่ และ radish ค่ะ เครื่องเคียงเป็นสลัดผักราดด้วยน้ำสลัดบัลซามิค
แซนด์วิชแซลมอนครีมชีส (250 บาท)
ไวท์ช็อกโกแลตโยเกิร์ต (White Chocolate Yogurt)
จานนี้เป็นกรีกโยเกิร์ตผสมกับไวท์ช็อกโกแลต ตกแต่งด้วยผลไม้ เช่น สตอร์เบอร์รี ทับทิม บลูเบอร์รีและเสาวรส ทานกับครัมเบิล ราดด้วยไอซิ่ง คอนเซ็ปต์ของจานนี้ คือ แม้จะเป็นเมนูของหวานแต่ต้องการการปรุงแต่งให้น้อยที่สุด จึงก่อให้เกิดเมนูง่ายๆ โดยการใช้โยเกิร์ตเพื่อสุขภาพและใส่ผลไม้สดเข้ามาค่ะ
ไวท์ช็อกโกแลตโยเกิร์ต (180 บาท)
เฟรนช์โทสต์ เบอร์รี่ (French Toast Berries)
จานนี้เป็นขนมปังบริยอช สอดไส้แยมบลูเบอร์รีเข้าไป แล้วนำไปชุบไข่ กริลล์ในกระทะ ทานคู่กับเมเปิ้ลไซรัปและไอศกรีม จานนี้ก็เป็นเมนูของหวานเบสิคค่ะ ปรุงแต่งให้น้อยแต่เพิ่มผลไม้เข้าไปเพื่อให้ตอบโจทย์กับการเป็นเมนูของหวานเพื่อสุขภาพ
เฟรนช์โทสต์ เบอร์รี่ (260 บาท)
สรุปเมนูรสชาติอาหาร
- Flat white (120 บาท) : กาแฟกลิ่นหอมชัดเจน ถึงแม้กาแฟจะมีรสค่อนข้างเข้ม แต่พอสัมผัสจะรู้สึกละมุนค่ะ สำหรับคนที่ไม่ใช่คอกาแฟก็ยังคงทานได้
- Black and white (140 บาท)
Black : รสของกาแฟเข้มมาก ขมทีเดียว แต่เนื้อเบามากๆ ค่ะ สัมผัสแรกคือเปรี้ยวมาก แต่พอกลืนแล้วจะให้รสหวาน เหมาะสำหรับคนที่เป็นคอกาแฟจริงๆ เท่านั้นค่ะ สำหรับใครที่ทานกาแฟไม่เก่งอาจจะกลัวกาแฟไปเลย
White : รสค่อนข้างเบา ทานง่าย เหมือนลาเต้แต่รสเบากว่าแล้วก็กลมกล่อมค่ะ - Steampunk (200 บาท) : รสชาติจะเบากว่า คล้ายอเมริกาโน่แต่ไม่ขมเท่า ทานแล้วเปรี้ยวมากค่ะ แต่พอกลืนแล้วจะหวาน ซึ่งรสชาติจริงๆ แล้วขึ้นอยู่กับลิ้นคนทานค่ะ เพราะบางคนอาจจะหวาน ขม หรือเปรี้ยวก็ได้
- ชาไทย (140 บาท) : กลิ่นชาชัดเจน แต่ไม่ค่อยได้กลิ่นหอมของนม ทำให้รสจืดไปหน่อยค่ะ
- Spicy Magarita (165 บาท) : ได้กลิ่นหอมของพริก เมื่อทานเข้าไปแล้วได้รสเปรี้ยวนิดหน่อยกำลังดีและจะมีรสเผ็ดบ้างที่ปลายลิ้น ความเผ็ดอาจจะไม่เข้ากับเมนูเครื่องดื่มทำให้บางคนอาจจะไม่ชอบ ความเค็มของเกลือจะช่วยตัดรสความเปรี้ยวของน้ำ แต่รวมๆ แล้ว ยังไม่ค่อยกลมกล่อม ดื่มแล้วรู้สึกสดชื่นน้อยไปนิดนึงค่ะ
- Pina Colada (165 บาท) : ทานเข้าไปแล้วได้กลิ่นของสับปะรดและมะพร้าวชัดเจน แต่น้ำสับปะรดขาดความหวานไปหน่อย ค่อนข้างเจือจางไปบ้างค่ะ ทานคู่กับมะพร้าวแล้วไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่
- แซนด์วิชหน้าไข่คนและอโวคาโด (220 บาท) : ตัวขนมปังนุ่มมากค่ะ ทานพร้อมๆ กับอโวคาโดและแฮมรู้สึกเค็ม ความเค็มน่าจะมาจากแฮม ถ้าทานเยอะๆ อาจจะเลี่ยนได้ สลัดผักอร่อยเพราะได้น้ำสลัดบัลซามิคที่มีรสชาติเปรี้ยวแต่กำลังดี ทานกับผักสดยิ่งอร่อย ทำให้รู้สึกสดชื่นค่ะ
- แซนด์วิชแซลมอนครีมชีส (250 บาท) : ขนมปังซาวร์โดเป็นขนมปังที่ให้รสเปรี้ยว ส่วนครีมชีสก็เปรี้ยว แซลมอนรมควันจะออกเค็มหน่อยๆ แต่มีกลิ่นหอมของควัน แต่เมื่อทานรวมกันแล้วอร่อยมากค่ะ ส่วนผักสลัดยังคงอร่อยเหมือนเดิมค่ะ
- ไวท์ช็อกโกแลตโยเกิร์ต (180 บาท) : ทานเข้าไปแล้วให้ความรู้สึกเหมือนทานโยเกิร์ตแต่จะหนักกว่า มีรสหวานๆ เปรี้ยวๆ แต่หนักไปทางหวานแต่ได้ความเปรี้ยวของผลไม้มาช่วยตัด ทานแล้วสดชื่นดี
- เฟรนช์โทสต์ เบอร์รี่ (260 บาท) : เฟรนช์โทสต์หอมมากๆ ทานกับใส้เบอรี่ที่มีรสเปรี้ยวเข้ากันพอดีค่ะ ทานแล้วหวานๆ เปรี้ยวๆ แต่เนื้อขนมปังค่อนข้างหนักถ้าทานเยอะอาจจะเลี่ยนได้ แต่ถ้าทานพร้อมๆ กับไอศกรีมจะช่วยตัดรสและกำลังดีค่ะ
SPONSORED
การประเมินและให้คะแนน
รูปแบบของการประเมิน |
คะแนน |
รสชาติอาหาร |
3.95 |
บรรยากาศ |
4.0 |
การบริการ |
4.1 |
ความคุ้มค่า |
3.95 |
คะแนนเฉลี่ย |
4.0 |
สำหรับคนที่ชอบทานกาแฟคงจะพอใจกับร้านนี้มากๆ เลยล่ะค่ะ เพราะเป็นร้านที่มีกาแฟค่อนข้างหลากหลายและให้ความสำคัญกับทุกขั้นตอนการผลิต เพราะกาแฟของที่นี่ถ้าเป็นกาแฟไทยก็จะมีไร่เป็นของตัวเอง และคิดค้นสูตรต่างๆ ของเครื่องดื่มด้วยตัวเอง เมนูเครื่องดื่มที่ประทับใจสำหรับคอกาแฟคือ steampunk ซึ่งเราจะได้เห็นกระบวนการผลิตกาแฟกันสดๆ เลยค่ะ ตื่นตาตื่นใจมาก แต่ในแง่ของรสชาติใครที่ไม่ใช่คอกาแฟอาจจะไม่ชอบค่ะ เมนูอาหารต้องยกให้เมนู “แซลมอนครีมชีส” เลยค่ะ ไม่ทานนี่ถือว่าพลาดมากๆ เพราะเมนูนี้ลงตัวสุดๆ ทานได้เพลินๆ เลย แล้วยังอิ่มด้วยนะคะ
สำหรับราคาเครื่องดื่มพอรับได้เมื่อเทียบกับปริมาณและสถานที่ตั้งที่อยู่ในห้าง เพราะราคาเฉลี่ยอยู่ประมาณ 100-150 บาท แต่ก็จะมีเครื่องดื่มบางชนิดที่ราคาโดดขึ้นไปอยู่ที่ 150 บาทขึ้นไป ซึ่งจะเป็นเครื่องดื่มพวกม็อกเทล ส่วนอาหารและของหวานราคาอาจจะสูงแต่ด้วยเพราะวัตุดิบที่ใช้เป็นของดี แต่อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับปริมาณและราคาแล้วก็ยังคงถือว่าสูงไปหน่อย แม้ราคาจะค่อนข้างสูงแต่ลูกค้าก็ยังคงเข้าร้านตลอดเวลา ซึ่งกลุ่มของลูกค้าก็มีความหลากหลายมาก ทั้งต่างชาติ คนไทย วัยรุ่นหรือผู้ใหญ่จะแวะเวียนเข้ามาที่ร้านตลอดเวลา
เมื่อพูดถึงบรรยากาศของร้าน ร้านค่อนข้างมืด แต่ทางร้านแจ้งว่ายังตกแต่งไม่เสร็จ จะเสร็จสมบูรณ์ในเดือนหน้าค่ะ ส่วนการบริการที่นี่จะเป็นกันเองมากๆ ค่ะ พนักงานยิ้มแย้มตลอดเวลาและเอาใจใส่ลูกค้าตลอด รวมถึงยังให้คำแนะนำเรื่องกาแฟและอาหารได้ดีมากค่ะ ทางร้านยังมีบริการ Wi-Fi ฟรีด้วยนะคะ จะอยู่ด้านล่างของใบเสร็จค่ะ รับรองนั่งเล่นเพลินๆ แน่นอน สำหรับการเดินทางมาที่ร้านก็ไม่ยากเพราะสามารถโดยสารได้ด้วยบีทีเอสลงสถานีสยามหรือชิดลมก็ได้แล้วเดินต่อมา และหากใครนำรถมาก็สามารถจอดรถได้ที่จอดรถของห้างเซ็นทรัลเวิร์ลหรือ Zen ก็ได้ค่ะ แถมยังไม่ต้องกังวลเรื่องห้องน้ำอีกด้วย
ข้อดี
- Casa lapin สาขานี้มีบริการที่ครบครันทั้งอาหาร เครื่องดื่ม และของหวาน รวมถึงสินค้าของแบรนด์เอง ถือเป็นสาขาที่มีความสมบูรณ์มากที่สุด เป็นคาเฟ่ที่ครบจบในที่เดียว ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงแบรนด์ได้ง่าย
- ทางร้านจะเน้นหนักไปทางเมนูเครื่องดื่มประเภทกาแฟ เพราะกาแฟที่ร้านมีความพิเศษอยู่มาก เช่น “steampunk” ที่หาทานได้แค่สองที่ในประเทศไทย รวมถึงลูกค้าสามารถเลือกทานกาแฟได้ตามใจชอบ เพราะที่ร้านมีเมล็ดกาแฟให้เลือกหลากชนิดทั้งของไทยเองและของต่างประเทศ
- นอกเหนือจากกาแฟแล้ว เมนูเครื่องดื่มอื่นก็มีความหลากหลาย เพราะทางร้านพยายามสร้างสรรค์เมนูให้แปลกและน่าสนใจ เช่น เมนู spicy magarita ที่มี่จุดขายตรงที่เราสามารถเลือกเกลือที่โรยขอบปากแก้วได้ถึงสามชนิด
- ทางร้านมีโปรโมชั่น Early Bird เมนูเครื่องดื่มในวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 10.00-12.00 น. ราคาเครื่องดื่มจะลดเหลือ 70 บาทค่ะ ส่วนม็อกเทลจะเหลือ 140 บาท
- เมนูอาหารค่อนข้างตอบโจทย์ครัวเบา เพราะทานง่าย รวดเร็วและอยู่ท้อง อีกทั้งยังให้สารอาหารครบถ้วน รวมถึงมีเมนูของหวานที่เน้นเป็นอาหารสุขภาพด้วย
- ทางร้านยังคงคอนเซ็ปต์การตกแต่งที่อบอุ่นและสบาย รวมถึงดูสวยและหรูหราขึ้นค่ะเมื่อเทียบกับสาขาอื่น
- มี Wi-Fi ให้บริการ
- การบริการค่อนข้างดีค่ะ พนักงานทุกคนสามารถให้คำแนะนำและช่วยเหลือลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ข้อเสนอแนะ
- ร้านค่อนข้างมืด(ตอนที่ทีมงานมารีวิว) และมีบางส่วนที่ยังตกแต่งไม่เสร็จ แต่ทางร้านจะจัดการตกแต่งให้เสร็จภายในเดือนหน้าเพื่อให้พร้อมสำหรับการเปิดตัวร้านอย่างเป็นทางการค่ะ
- ราคาอาหารค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับร้านคาเฟ่ในห้างทั่วๆ ไป เพราะราคาอาหารของทางร้านราคา 200 บาทขึ้นไป หากเทียบกับร้านอาหารอื่นรวมถึงคาเฟ่อื่นในห้าง ราคาของอาหารจะอยู่ที่ 100-200 บาท
- เมนูเครื่องดื่มขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน เพราะบางเมนูจะเหมาะกับคอกาแฟจริงๆ เท่านั้น เช่น เมนู steampunk ที่มีรสขมและค่อนข้างทานยาก
- อาหารยังสามารถปรับรสชาติให้กลมกล่อมได้กว่านี้ค่ะ เช่น เมนู Scrambled egg and avocado ที่มีรสชาติค่อนข้างเค็มไปบ้างค่ะ
- ทางร้านพยายามสร้างสรรค์เมนูให้มีความแปลกและน่าสนใจก็จริง แต่บางเมนูยังไม่ลงตัว เช่น Spicy Magarita และ Pina Colada ที่เสิร์ฟมาสวยงาม มีหน้าตาน่าทานแต่รสชาติและความเข้ากันของส่วนผสมยังไม่ลงตัวมากนัก ถ้าลองปรับสัดส่วนของส่วนผสมน่าจะทำให้รสชาติกลมกล่อมขึ้นค่ะ
สำหรับใครที่เคยไปสัมผัสประสบการณ์บ้านกระต่ายสาขาอื่นมาแล้ว มาสาขานี้ถือเป็นบ้านหลังใหญ่และใหม่ที่สุดของ Casa lapin ไม่ควรพลาดที่จะมาเยือนดูสักครั้ง และใครที่เป็นคอกาแฟและคอคาเฟ่ ร้านนี้ก็ถือเป็นหนึ่งในลิสต์ร้านที่ควรจะมานั่งเล่นหรือถ่ายรูปนะคะ ทางร้านจะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในเดือนสิงหาคม 2561 ถ้าใครสนใจและอยากติดตามก็สามารถเข้าไปติดตามได้ที่เฟสบุ๊คของทางร้าน Facebook Casa Lapin xCentral world